
เสียงเตือนจาก เรย์ ดาลิโอ (Ray Dalio) นักลงทุนระดับตำนาน และผู้ก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างมากในวงการการเงินและการลงทุน เมื่อเขาออกมาแสดงความกังวลว่า โลกกำลังเดินเข้าสู่ช่วงเวลาที่ “มืดมนที่สุด” หรือที่เขาใช้คำว่า very very dark times โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากทิศทางของสองมหาอำนาจเก่าอย่างสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร
ดาลิโอไม่ได้พูดจากความรู้สึกหรือคาดเดาเพียงลอย ๆ แต่เขาอ้างอิงจาก ทฤษฎีวัฏจักรใหญ่ (The Big Cycle) ที่ศึกษาประวัติศาสตร์การขึ้นและเสื่อมของอาณาจักรตลอดกว่า 500 ปีที่ผ่านมา ซึ่งพบว่ามหาอำนาจโลกจะมีวัฏจักรที่กินเวลาประมาณ 80 ปี ตั้งแต่ช่วงรุ่งเรืองจนถึงช่วงถดถอย และตอนนี้ทั้งสหรัฐฯ และอังกฤษกำลังเดินเข้าสู่ช่วงปลายวัฏจักรอย่างชัดเจน
อังกฤษ ภาพสะท้อนของมหาอำนาจที่ถดถอย
เมื่อมองไปที่สหราชอาณาจักร ปัญหาหลักที่เผชิญคือ หนี้สาธารณะสูง ขาดดุลการคลัง และเศรษฐกิจเติบโตต่ำ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะอังกฤษเริ่มอ่อนแรงมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
หนึ่งในสัญญาณชัดเจนคือการ อพยพของกลุ่มคนรวยและมหาเศรษฐี ที่หนีออกจากประเทศ ตัวเลขคาดการณ์ว่าปีเดียวอาจมีมากกว่า 16,000 คนย้ายถิ่นฐาน ซึ่งสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่รุนแรง ไม่ว่าจะเป็นการเก็บภาษีสูง ความขัดแย้งภายใน และสังคมที่แตกแยก
อีกประเด็นสำคัญคือ อังกฤษขาดพลังในการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ และตลาดทุนก็ไม่แข็งแรงพอที่จะดึงดูดการลงทุนในธุรกิจแห่งอนาคต ส่งผลให้ประเทศไม่สามารถสร้างความมั่งคั่งใหม่ได้เหมือนเดิม
สหรัฐฯ มหาอำนาจที่กำลังสั่นคลอน
ฝั่งอเมริกา สถานการณ์ก็ไม่ต่างกันมากนัก ดาลิโอเตือนมานานแล้วว่า สหรัฐฯ กำลังเจอกับ หนี้สินมหาศาล ซึ่งเป็นจุดเปราะบางที่สุดของระบบการเงินประเทศ นอกจากนั้นยังมีปัญหาความเหลื่อมล้ำ และความขัดแย้งรุนแรงระหว่างฝ่ายการเมือง ทั้งซ้ายจัดและขวาจัด
สัญญาณชัดเจนคือการประท้วงที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ความเห็นที่แตกต่างจนยากหาจุดร่วม และประชาชนจำนวนมากเริ่มหมดศรัทธาในระบบประชาธิปไตย เพราะเชื่อว่าระบบไม่สามารถกระจายความมั่งคั่งหรือสร้างโอกาสที่เท่าเทียมให้กับทุกคนได้
ดาลิโอยังกล่าวถึง ปัญหาการศึกษาและโอกาสทางเศรษฐกิจ ที่ไม่เพียงพอ ซึ่งทำให้ช่องว่างระหว่างชนชั้นยิ่งกว้างขึ้น ปัญหาเหล่านี้ล้วนสะสมเป็น “เชื้อไฟ” ที่อาจผลักดันให้สหรัฐฯ สูญเสียความเป็นมหาอำนาจในอนาคต
ปัจจัยที่กำหนดชะตากรรมมหาอำนาจโลก
ดาลิโอชี้ว่า หากมองในมุมวัฏจักร จะมีตัวแปรหลัก 5 ด้านที่กำหนดว่าอำนาจโลกจะรุ่งเรืองหรือล่มสลาย ได้แก่
- หนี้สินและการคลัง – เมื่อหนี้สูงและขาดดุลอย่างต่อเนื่อง ย่อมบั่นทอนความเชื่อมั่นและความสามารถในการลงทุน
- ความขัดแย้งภายในประเทศ – การเมืองที่แตกแยกและความเหลื่อมล้ำสูงเป็นตัวเร่งให้สังคมอ่อนแรง
- เศรษฐกิจและนวัตกรรม – หากไม่มีแรงผลักดันด้านเทคโนโลยีและธุรกิจใหม่ ๆ ประเทศก็จะถอยหลัง
- อำนาจทางการทหารและภูมิรัฐศาสตร์ – การแข่งขันกับมหาอำนาจใหม่อย่างจีน ทำให้สหรัฐฯ และอังกฤษเผชิญแรงกดดันเพิ่มขึ้น
- ความเชื่อมั่นของประชาชนและนานาชาติ – เมื่อความไว้วางใจในระบบถดถอย อำนาจนำก็จะลดลงตาม
ใครจะขึ้นแทน และบทบาทของเทคโนโลยี
แม้สหรัฐฯ และอังกฤษจะยังมีพลังอยู่มาก แต่ทิศทางชี้ให้เห็นว่ามีโอกาสสูงที่จะค่อย ๆ สูญเสียความเป็นผู้นำ ดาลิโอจึงตั้งคำถามสำคัญว่า ใครจะเป็นผู้ชนะใน “สงครามเทคโนโลยี”
เพราะในโลกปัจจุบัน เทคโนโลยีไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐกิจ แต่คือแกนกลางของความมั่นคง การทหาร และการกำหนดทิศทางโลก ใครที่สามารถสร้างนวัตกรรมและครองอำนาจทางเทคโนโลยีได้ จะมีอิทธิพลเหนือกว่าทั้งเศรษฐกิจและการเมือง
จีนถูกจับตามองอย่างมาก เพราะลงทุนมหาศาลใน AI, ชิป, และเทคโนโลยีอนาคต อีกทั้งยังมีศักยภาพด้านการผลิตและตลาดภายในประเทศที่ใหญ่พอจะผลักดันตัวเองขึ้นมาแข่งขันกับสหรัฐฯ ได้อย่างจริงจัง
บทเรียนสำหรับนักลงทุนและประชาชน
คำเตือนของเรย์ ดาลิโอ ไม่ใช่เพียงการทำนายอนาคต แต่คือการชี้ให้เห็นความเสี่ยงที่สะสมและกำลังส่งสัญญาณ การเข้าใจวัฏจักรของมหาอำนาจช่วยให้เราเตรียมตัวรับมือ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุน การทำธุรกิจ หรือแม้แต่การวางแผนชีวิต

อนาคตของโลกอาจไม่ใช่เรื่องที่เราจะควบคุมได้ แต่สิ่งที่เราทำได้คือ การปรับตัวและเตรียมพร้อม เมื่ออำนาจโลกเปลี่ยนมือ ประเทศใหม่ ๆ และเทคโนโลยีใหม่ ๆ จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ใครที่เข้าใจและพร้อมปรับตัวก่อน ก็จะมีโอกาสยืนอยู่ในจุดที่มั่นคงกว่า
บทวิเคราะห์ของเรย์ ดาลิโอสะท้อนให้เห็นว่า ทั้งสหรัฐอเมริกาและอังกฤษกำลังเดินเข้าสู่ช่วงขาลงของวัฏจักรการเป็นมหาอำนาจ จากปัญหาหนี้สิน ความเหลื่อมล้ำ และความขัดแย้งภายใน ขณะที่ประเทศใหม่ โดยเฉพาะจีน กำลังใช้พลังของเทคโนโลยีเพื่อท้าทายอำนาจเดิม
สุดท้ายแล้ว คำว่า “ใครชนะสงครามเทคโนโลยี คือผู้ชนะทุกสงคราม” อาจไม่ใช่เพียงสโลแกน แต่คือความจริงที่เรากำลังจะได้เห็นในศตวรรษนี้อย่างชัดเจน