
เคยรู้สึกไหมว่าช่วงนี้เงินเหมือนจะหายเร็วขึ้น ทั้งที่รายได้เท่าเดิมแต่รายจ่ายกลับพุ่งขึ้นทุกเดือน ไม่ว่าจะค่าข้าวของ เครื่องดื่ม หรือค่าเดินทาง ทุกอย่างดูเหมือนแพงขึ้นแบบไม่รู้ตัว นั่นแหละคือสิ่งที่เรียกว่า “เงินเฟ้อ” ปรากฏการณ์ที่ทำให้มูลค่าเงินในมือเราลดลงโดยไม่ทันรู้ตัว แต่ปัญหาคือในขณะที่ค่าครองชีพเพิ่มขึ้น รายได้ของคนส่วนใหญ่กลับคงที่หรือเพิ่มเพียงเล็กน้อย จนกลายเป็นความท้าทายทางการเงินที่ต้องรับมืออย่างชาญฉลาด วันนี้เรามาลองดูแนวคิดและวิธีที่ช่วยให้เงินยังงอกเงยได้ แม้ต้องอยู่ในยุคที่ “เงินเฟ้อสูงแต่เงินเดือนเท่าเดิม”

เงินเฟ้อคืออะไร และทำไมถึงทำให้เรา “จนลง” แบบเงียบๆ
เงินเฟ้อ (Inflation) คือภาวะที่ระดับราคาสินค้าและบริการโดยรวมในระบบเศรษฐกิจเพิ่มสูงขึ้น เมื่อราคาของทุกอย่างแพงขึ้น มูลค่าของเงินที่เรามีอยู่ก็ลดลง เช่น ปีนี้กาแฟแก้วละ 40 บาท แต่ปีหน้าแก้วเดิมอาจขึ้นเป็น 45 บาท เท่ากับว่าเงิน 40 บาทที่เคยซื้อกาแฟได้หนึ่งแก้ว ตอนนี้ซื้อไม่ได้แล้ว นั่นหมายความว่า “กำลังซื้อของเงินลดลง”
สาเหตุของเงินเฟ้อมาจากหลายปัจจัย เช่น ราคาพลังงานที่สูงขึ้น ต้นทุนการผลิตเพิ่ม หรือการที่มีเงินหมุนเวียนในระบบมากเกินไปจนทำให้เกิดการใช้จ่ายสูงขึ้น นอกจากนี้ยังมี “เงินเฟ้อนำเข้า” จากต่างประเทศ เช่น เมื่อราคาน้ำมันในตลาดโลกเพิ่ม ประเทศไทยที่ต้องนำเข้าน้ำมันก็ต้องปรับราคาขึ้นตาม ทำให้ราคาสินค้าอื่นๆ ขยับขึ้นไปด้วย
เงินเฟ้อไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ที่น่ากังวลคือเมื่อรายได้ไม่ขยับตาม โดยเฉพาะกลุ่มมนุษย์เงินเดือนหรือผู้มีรายได้ประจำ เพราะแม้จะได้เงินเท่าเดิม แต่ค่าครองชีพกลับแพงขึ้นทุกปี ส่งผลให้ “ค่าแรงจริง (Real Wage)” ลดลง เช่น รายได้เท่าเดิม แต่ซื้อของได้น้อยลงกว่าเดิม นี่แหละคือสิ่งที่ทำให้หลายคนรู้สึกว่า “ทำไมอยู่ๆ เงินถึงไม่พอใช้ทั้งที่ไม่ได้ใช้ฟุ่มเฟือยเลย”
ปัญหาหลักของยุคเงินเฟ้อสูง รายได้คงที่
เมื่อรายได้ไม่ขยับ แต่ทุกอย่างรอบตัวแพงขึ้น ปัญหาทางการเงินก็เริ่มชัดเจนขึ้นทีละน้อย เช่น
- รายจ่ายจำเป็นเพิ่มขึ้น ทั้งค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าที่อยู่อาศัย หรือแม้แต่ค่ารักษาพยาบาล
- เงินเก็บเริ่มลดลง เพราะต้องดึงเงินออมมาใช้จ่ายในสิ่งจำเป็น
- หนี้สินเพิ่มขึ้น หลายคนต้องพึ่งบัตรเครดิตหรือสินเชื่อเพื่อพยุงการใช้ชีวิตประจำวัน
- โอกาสลงทุนลดลง เพราะไม่มีเงินเหลือพอสำหรับการลงทุน
เมื่อสถานการณ์แบบนี้ยืดเยื้อ ก็จะนำไปสู่ภาวะ “ความเครียดทางการเงิน” ที่กระทบต่อสุขภาพจิต และคุณภาพชีวิตโดยรวม ดังนั้นการปรับตัวให้เร็วและเข้าใจวิธีจัดการเงินในยุคเงินเฟ้อจึงสำคัญมาก
ปรับพฤติกรรมการใช้เงินใหม่ เพื่อให้รอดในยุคเงินเฟ้อ
สิ่งแรกที่ควรทำไม่ใช่การหาเงินเพิ่มทันที แต่คือ “การรู้จักจัดการสิ่งที่มีอยู่” อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะแม้รายได้จะเท่าเดิม แต่ถ้าเราใช้เงินฉลาดขึ้น ก็สามารถยืดอายุการเงินได้มากกว่าที่คิด
เริ่มจากการ ทำบัญชีรายรับรายจ่ายอย่างจริงจัง เพราะหลายคนไม่รู้เลยว่าเงินหายไปกับค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ มากแค่ไหน เช่น กาแฟแก้วละ 50 บาท ถ้าซื้อทุกวันเดือนหนึ่งก็ 1,500 บาท หรือค่าสมัครบริการออนไลน์ที่ลืมยกเลิก การเห็นภาพรวมชัดเจนจะช่วยให้รู้ว่าควรตัดอะไรออก
ต่อมาคือ ปรับลำดับความสำคัญของค่าใช้จ่าย แบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่
- ค่าใช้จ่ายจำเป็น เช่น อาหาร ค่าเดินทาง ค่าเช่าบ้าน
- ค่าใช้จ่ายเพื่ออนาคต เช่น เงินออมและเงินลงทุน
- ค่าใช้จ่ายเพื่อความสุขส่วนตัว เช่น ช้อปปิ้ง ท่องเที่ยว หรือดูหนัง
ในช่วงเงินเฟ้อสูง ควรลดสัดส่วนกลุ่มที่ 3 และเพิ่มสัดส่วนในกลุ่มที่ 2 เพื่อให้เงินทำงานแทนเราในระยะยาว
สร้างรายได้เสริมจากทักษะที่มี
ในยุคที่ค่าครองชีพพุ่ง แต่รายได้ไม่พอ การหารายได้เสริมไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่กลายเป็นสิ่งจำเป็น โชคดีที่ยุคดิจิทัลเปิดโอกาสให้สร้างรายได้จากหลากหลายช่องทาง เช่น
- รับงานฟรีแลนซ์ตามความถนัด ไม่ว่าจะเป็นงานเขียน ออกแบบ ตัดต่อวิดีโอ หรือดูแลเพจโซเชียลมีเดีย
- ขายสินค้าหรือของใช้มือสองออนไลน์
- ทำคอร์สออนไลน์สอนความรู้เฉพาะทาง เช่น การเงิน ภาษา หรือทักษะอาชีพ
สิ่งสำคัญคือการ “เริ่มจากสิ่งที่เราทำได้และถนัด” เพราะไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนมาก แต่สามารถต่อยอดได้ยาว

ให้เงินทำงานแทน ด้วยการลงทุนที่เหมาะสม
การเก็บเงินไว้เฉยๆ ในบัญชีออมทรัพย์อาจไม่ใช่ทางออกที่ดีนักในยุคเงินเฟ้อ เพราะดอกเบี้ยที่ได้อาจน้อยกว่าการเพิ่มขึ้นของค่าครองชีพ ทำให้ “มูลค่าแท้จริงของเงินลดลง” ดังนั้นควรให้เงินทำงานแทนผ่านการลงทุนรูปแบบต่างๆ
- กองทุนรวม เหมาะกับผู้ที่ไม่มีเวลาศึกษาหรือไม่ชำนาญการลงทุน เพราะมีผู้จัดการกองทุนคอยบริหารให้ แถมมีให้เลือกหลายประเภท เช่น กองทุนตราสารหนี้ กองทุนหุ้น หรือกองทุนผสม
- หุ้นปันผล สำหรับคนที่รับความเสี่ยงได้ระดับหนึ่ง หุ้นบริษัทที่มั่นคงและจ่ายปันผลสม่ำเสมอช่วยสร้างรายได้ต่อเนื่อง
- ทองคำ ถือเป็นสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อ (Hedge against inflation) เพราะราคาทองมักจะขึ้นเมื่อค่าเงินอ่อนลง
- สินทรัพย์ดิจิทัลหรือคริปโทเคอร์เรนซี เหมาะกับผู้ที่เข้าใจความเสี่ยงและมีความรู้พอ เพราะความผันผวนสูง
แต่ก่อนจะลงทุนในอะไร ต้องเริ่มจากการสำรวจตัวเองก่อนว่ารับความเสี่ยงได้แค่ไหน และมีเป้าหมายการลงทุนเพื่ออะไร เช่น ลงทุนเพื่อเกษียณ หรือเพื่อสร้างรายได้ระยะสั้น
ปรับวิธีคิดทางการเงินในยุคใหม่
ยุคนี้ไม่ได้วัดกันที่ “หาเงินได้เท่าไร” แต่เป็นเรื่องของ “บริหารเงินได้ดีแค่ไหน” การมี Mindset ที่ถูกต้องช่วยให้เราอยู่รอดในยุคเงินเฟ้อได้โดยไม่รู้สึกว่าชีวิตฝืดเคืองเกินไป
สิ่งสำคัญคือการเปลี่ยนมุมมองจาก “ใช้เงินเพื่อความสุขตอนนี้” เป็น “ใช้เงินเพื่อความมั่นคงในอนาคต” ซึ่งไม่ได้หมายความว่าต้องงดทุกอย่างที่ชอบ แต่ให้ใช้แบบมีสติและรู้คุณค่าของเงินทุกบาท เช่น ถ้าจะซื้อของ ให้ถามตัวเองว่า “สิ่งนี้จำเป็นไหม หรือแค่ต้องการ”
อีกสิ่งที่ควรทำคือ การอัปสกิล (Upskill) เพราะทักษะคือทรัพย์สินที่มูลค่าไม่ลดลงตามเงินเฟ้อ การเรียนรู้เพิ่มเติม เช่น ภาษา เทคโนโลยี หรือทักษะอาชีพใหม่ๆ ช่วยเพิ่มโอกาสในการเลื่อนตำแหน่งหรือสร้างรายได้เพิ่มในอนาคต
ปรับพอร์ตชีวิตให้อยู่รอดในระยะยาว
ในช่วงที่เศรษฐกิจผันผวน เราอาจต้องมองภาพระยะยาวมากกว่าการเอาตัวรอดเฉพาะหน้า เช่น การวางแผนเกษียณตั้งแต่วันนี้ การซื้อประกันสุขภาพเพื่อป้องกันค่าใช้จ่ายไม่คาดคิด หรือการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีมูลค่าเพิ่มตามเวลา เช่น อสังหาริมทรัพย์
นอกจากนี้ควรมี “เงินสำรองฉุกเฉิน” อย่างน้อย 3-6 เดือนของค่าใช้จ่าย เพื่อให้รับมือเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้โดยไม่ต้องพึ่งหนี้สิน เพราะความมั่นคงทางการเงินเริ่มต้นจากการมีพื้นฐานที่แข็งแรงก่อน
เงินเฟ้อสูงอาจทำให้ชีวิตทางการเงินยากขึ้น แต่ก็ไม่ใช่จุดจบของความมั่นคง หากเรารู้จักปรับตัวและมองภาพรวมอย่างรอบคอบ สิ่งสำคัญที่สุดคือ “อย่าตื่นตระหนก แต่ให้ตื่นรู้” เพราะทุกวิกฤตล้วนซ่อนโอกาสเสมอ
การเรียนรู้ที่จะใช้เงินให้คุ้มค่าที่สุด การลงทุนในสิ่งที่เข้าใจ และการพัฒนาทักษะตัวเอง ล้วนเป็นทางรอดที่ยั่งยืนในยุคที่มูลค่าเงินไม่แน่นอน แม้เงินเดือนจะเท่าเดิม แต่ถ้าเราจัดการได้ดี ก็ยังสามารถสร้างความมั่นคงและทำให้ “เงินงอกเงย” ได้อย่างมั่นใจในระยะยาว